E-LEARNING
หลักสูตรรายวิชาจักษุวิทยา นักศึกษาแพทย์ปีที่ 5 (พค.451)
หลักสูตรวิชาจักษุวิทยา
(พค.451)
นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่
5
ปีการศึกษา
2549
โครงการจัดตั้งภาควิชาจักษุวิทยา
คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คำนำ
โครงการจัดตั้งภาควิชาจักษุวิทยาเป็นหน่วยงานหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ซึ่งมีหลักสูตรการสอนนักศึกษาแพทย์ทางด้านจักษุวิทยา
เพื่อให้นักศึกษาแพทย์สามารถจบการศึกษาเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่มีความรู้และทักษะในการดูแลรักษาโรคทางตาที่อาจพบได้อย่างเหมาะสม
ครอบคลุมทั้งด้านการรักษา
การฟื้นฟู
การป้องกัน
การส่งเสริม
และการธำรงไว้ซึ่งสุขภาพ
โดยมีการจัดการเรียนการสอนตามเกณฑ์มาตรฐานของแพทยสภา
ในหลักการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
มีบูรณาการ
เน้น problem - based
learning และ community setting โดยจัดการเรียนการสอนทั้งที่โครงการจัดตั้งภาควิชาจักษุวิทยา
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
และศูนย์การแพทย์คูคต
ซึ่งนอกจากหลักสูตรจะเน้นเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาแล้ว
ยังให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจริยธรรมทางการแพทย์ที่เหมาะสมแก่นักศึกษาแพทย์
รวมทั้งทักษะต่างๆที่เกี่ยวข้อง
เช่นการสื่อสาร
การใช้คอมพิวเตอร์
และการทำงานเป็นทีม
เพื่อให้นักศึกษาแพทย์สามารถจบการศึกษาเป็นบัณฑิตแพทย์ที่พึงประสงค์และมีคุณภาพต่อไปในอนาคต
โครงการจัดตั้งภาควิชาจักษุวิทยา
ปีการศึกษา
2549
สารบัญ
หน้า
แพทยสภา
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตา
ข้อมูลรายชื่อและการศึกษาของคณาจารย์ในสาขาวิชาจักษุวิทยา
1
อาจารย์
นายแพทย์
ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์
- พบ.
เกียรตินิยม
(รามาธิบดี)
-
นิติศาสตร์บัณฑิต
(รามคำแหง)
-
ป.บัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิกสาขาจักษุวิทยา
(จุฬา)
-
ว.ว จักษุวิทยา
(จุฬา)
-
อ.ว. เวชศาสตร์ครอบครัว
-
รองประธานวิชาการชมรมจักษุวิทยาเด็กและตาเข
2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์
วิชัย
ลีละวงศ์เทวัญ
- พบ.
(จุฬา)
-
ป.บัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิกสาขาจักษุวิทยา
(จุฬา)
-
ว.ว. จักษุวิทยา
( จุฬา )
- กรรมการชมรมจักษุแพทย์ไทยด้านสายตา
3 รองศาสตราจารย์
นายแพทย์
โกศล คำพิทักษ์
- พบ.
(จุฬา)
-
ป.บัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิกสาขาจักษุวิทยา
(จุฬา)
-
ว.ว. จักษุวิทยา
(จุฬา)
-
Cornea
and refractive
surgery , Royal
Eye and
Ear hospital
Melbourne Australia
4
อาจารย์
แพทย์หญิง
วราภรณ์
บูรณะตรีเวทย์
- พบ.
(เชียงใหม่)
- อ.ว.
จักษุวิทยา
(เชียงใหม่)
- จักษุตกแต่งเสริมสร้าง
(รามาธิบดี)
5
อาจารย์
นายแพทย์
ไพบูลย์
บวรวัฒนดิลก
- พบ
(รามาธิบดี)
- ว.ว.
จักษุวิทยา
(รามาธิบดี)
- สาขาจอประสาทตา
(รามาธิบดี)
6
อาจารย์
แพทย์หญิง
มัญชิมา
มะกรวัฒนะ
- พบ.
(จุฬา )
- ป.
บัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิกสาขาจักษุวิทยา
(จุฬา)
- ว.ว.
จักษุวิทยา
(จุฬา)
- Certificate
of Clinical Glaucoma
and Surgery
Fellowship ,the
-
Neuro-Ophthalmology, the
7 อาจารย์
นายแพทย์
ณวพล
กาญจนารัณย์
- พบ.
(ศิริราช)
- ป.
บัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก
สาขาจักษุวิทยา
(มหิดล)
- ว.ว
จักษุวิทยา
(ศิริราช)
- อ.ว.
เวชศาสตร์ครอบครัว
8 อาจารย์
แพทย์หญิง
นรากร
วิมลเฉลา
ลาศึกษาต่อ
- พบ.
(จุฬา)
- ป.
บัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก
สาขาจักษุวิทยา
(ขอนแก่น)
- ว.ว.
จักษุวิทยา
(ขอนแก่น)
9 อาจารย์
แพทย์หญิง
วิมลวรรณ
จูวัฒนสำราญ
- พบ.
(รามาธิบดี)
- อนุมัติบัตร
(เชียงใหม่)
- อนุสาขากระจกตา
(ศิริราช)
10
แพทย์หญิง
สุพินดา
ถนอมรอด
ลาศึกษาต่อ
- พบ.
เกียรตินิยม
(ศิริราช)
- ลาศึกษาต่อแพทย์ประจำบ้าน
(ศิริราช)
อาจารย์พิเศษซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคของสาขาวิชาจักษุวิทยา
4 คน
คือ
1 พญ.
โสฬส วุฒิพันธ์
- พบ.
(ศิริราช )
-
วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(รามาธิบดี)
-
Fellowship
in Strabismus ,
The
Royal Eye
and Ear
Hospital ,
Melbourne University
, Australia
2
พญ.
นิภาภรณ์
มณีรัตน์
- พบ.
(จุฬาลงกรณ์)
-
วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(จุฬาลงกรณ์)
- อนุสาขากระจกตา
(จุฬาลงกรณ์)
3
นพ. กิตติชัย
อัครพิพัฒน์กุล
- พบ.
(จุฬาลงกรณ์ )
-
วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(จุฬาลงกรณ์)
-
อนุสาขาจอประสาทตา
(ราชวิถี)
4
นพ. กีรติ
พึ่งพาพงษ์
-
พบ. (จุฬาลงกรณ์)
-
วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(จุฬาลงกรณ์)
-
Certificate
of Research
Oculoplastic and
Reconstructive Surgery Fellowship
,The
5
พญ.ทัศนีย์
ศิริกุล
- พบ.
(รามาธิบดี)
- วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(รามาธิบดี)
- อนุสาขากระจกตา
(รามาธิบดี)
6
นพ.ณัฐพล
วงษ์คำช้าง
- พบ.
(รามาธิบดี)
- วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(ราชวิถี)
7
พญ.วรัทพร
จันทร์ลลิต
- พบ.
(ขอนแก่น)
- วุฒิบัตรจักษุวิทยา
(ขอนแก่น)
หลักสูตรจักษุวิทยา
วัตถุประสงค์ทางจักษุวิทยา
เมื่อนักศึกษาผ่านแผนกจักษุวิทยาเป็นเวลา
3 สัปดาห์แล้ว
นักศึกษาจะต้องมีเจตคติ
มารยาท
และจรรยาบรรณทางวิชาชีพที่ดีต่อวิชาชีพและผู้ป่วย
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้ป่วยและผู้ร่วมงานและจะต้องมีความรู้ความสามารถตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
การจัดการเรียนการสอนเนื้อหาวิชาการ
ประกอบด้วยการบรรยาย,
topic
discussion, bedside teaching round, operative room demonstration และ
primary eye care
ที่ศูนย์แพทย์คูคต
การเรียนรู้ด้วยตนเอง
และการเรียนรู้นอกเวลา
โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.เนื้อหาต่อไปนี้
เป็นการสอนแบบบรรยาย
(panel
discussion) ได้แก่
เรื่อง
อาจารย์
1.Introduction
to Ophthalmology
อ.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์
อ.วิชัย
ลีละวงศ์เทวัญ
อ.ณวพล
กาญจนารัณย์
2.Impaired
vision
อ.โกศล
คำพิทักษ์
อ.มัญชิมา
มะกรวัฒนะ
อ.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์
3.Eye
pain & Headache
อ.โกศล
คำพิทักษ์
อ.วราภรณ์
บูรณะตรีเวทย์
อ.วิมลวรรณ
จูวัฒนสำราญ
4.Red
eye
อ.วิชัย
ลีละวงศ์เทวัญ
อ.โกศล
คำพิทักษ์
อ.มัญชิมา
มะกรวัฒนะ
5.Disease
of retina & vitreous
อ.ไพบูลย์
บวรวัฒนดิลก
อ.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์
อ.ณวพล
กาญจนารัณย์
6.Disease
of eyelid & lacrimal system
อ.วราภรณ์
บูรณะตรีเวทย์
อ.ไพบูลย์
บวรวัฒนดิลก
อ.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์
7.Strabismus
อ.วิมลวรรณ
จูวัฒนสำราญ
อ.วิชัย
ลีละวงศ์เทวัญ
อ.ณวพล
กาญจนารัณย์
8.Eye
in systemic disease
อ.ณวพล
กาญจนารัณย์
อ.มัญชิมา
มะกรวัฒนะ
อ.วิมลวรรณ
จูวัฒนสำราญ
9.Neuro-Ophthalmology
อ.มัญชิมา มะกรวัฒนะ
อ.โกศล
คำพิทักษ์
อ.ไพบูลย์
บวรวัฒนดิลก
10.Eye
injury
อ.วิชัย
ลีละวงศ์เทวัญ
อ.ไพบูลย์
บวรวัฒนดิลก
อ.วิมลวรรณ
จูวัฒนสำราญ
2.การเรียนการสอนแบบ
topic discussion มี 9
เรื่อง
ดังนี้
เรื่อง
อาจารย์
1.Pharmacology
อ.โกศล
คำพิทักษ์และอาจารย์ทุกท่าน
2.Diabetic
retinopathy
อ.ณวพล
กาญจนารัณย์และอาจารย์ทุกท่าน
3.Medical
ethics
อ.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์และอาจารย์ทุกท่าน
4.Acute
conjunctivitis
อ.วราภรณ์
บูรณะตรีเวทย์และอาจารย์ทุกท่าน
5.Common
eye injury
อ.วิมลวรรณ
จูวัฒนสำราญและอาจารย์ทุกท่าน
6.Sudden
visual loss
อ.มัญชิมา
มะกรวัฒนะและอาจารย์ทุกท่าน
7.High
risk red eye
อ.วิชัย
ลีละวงศ์เทวัญและอาจารย์ทุกท่าน
8.Leukocoria
อ.ไพบูลย์
บวรวัฒนดิลกและอาจารย์ทุกท่าน
9.Primary
eye care
อ.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์และอาจารย์ทุกท่าน
รายละเอียดการสอนแบบบรรยาย
(panel
discussion)
1.
Introduction to Ophthalmology
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยทางจักษุวิทยา
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไปทางจักษุวิทยาได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคพื้นฐานทางจักษุวิทยาได้
3.
ให้การรักษาโรคตาง่ายๆได้และทราบถึงชนิดของโรคที่จะต้องส่งต่อให้จักษุแพทย์
5.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
ทราบขอบเขตความรู้เกี่ยวกับจักษุวิทยาสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
2.
อธิบาย
Gross
anatomy , และ Medical term ทางจักษุวิทยาที่พบบ่อยได้
3.
อธิบายกลไกการเกิดโรคตาที่พบบ่อยสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปได้
4.
อธิบายการแยกโรคที่มีความรุนแรงน้อยและรุนแรงมากทางจักษุวิทยา
และแนวทางการดูแลรักษาได้
5.สามารถให้การดูแลรักษาโรคตาที่ไม่รุนแรง
และสามารถส่งต่อจักษุแพทย์ในกรณีเป็นโรคที่ต้องรับการรักษาโดยจักษุแพทย์ได้อย่างเหมาะสม
6.
สามารถให้การดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสมและมีจริยธรรม
2.
อาการตามัว
( lmpaired
vision )
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการตามัว
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาเพื่อหาสาเหตุของอาการตามัวได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงชนิดของโรคที่จะต้องส่งจักษุแพทย์
4.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy , Histology
, และ Physiology
ของตาได้
2.
อธิบาย
Pathology
, Pathogenesis,Diagnosis,และ
Management
ในโรคที่มาด้วยอาการตามัวที่พบบ่อยได้
ได้แก่
-
Refractive
error : Hyperopia , Myopia , Astigmatism,Presbyopia
-
Cloudy
media : Cataract ,
Leucoma,Vitreous hemorrhage
-
Sensory
caused :
Glaucoma,Retinal detachment,Optic
neuritis,Amblyopia,Macular disease
3.
อธิบาย
Pathology,Pathogenesis,Diagnosis,และ
Management ในกลุ่มโรคที่
เกิดอาการ
Sudden loss of vision
ได้
ได้แก่
-
Central
Retinal Artery Occlusion
( CRAO)
-
Central
Retinal Vein
Occlusion (CRAO)
-
Amourosis
fugax
-
Optic
neuritis and
Retrobulbar optic
neuritis
-
Retinal
detachment
4.
สามารถวัด
Visual
acuity และแปลผลได้
5.
สามารถใช้
Direct
ophthalmoscope ได้
6.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย
Penlight ได้
7.
สามารถใช้
Schiotz
tonometer ได้
8.
สามารถตรวจภาวะตาบอดสีได้
9.
สามารถ
detect
ภาวะ
Malingering ได้
10.
อธิบายการใช้
Perimetry
ชนิดต่างๆ
ได้ และสามารถทำ
Confrontation test ได้
11.
อธิบายคำนิยามของ
Legal blindness
ได้
12.
อธิบายชนิดและกลไกของเลนส์ชนิดต่างๆที่ใช้ทำ
Visual
rehabilitation
13.
อธิบาย
Phamocokinetic,Mechanism,และ
Side effect ของยาหยอดตาชนิดต่างๆ
ดังนี้
-
Steroid
- Antiglaucoma
- Mydriatic
และยาที่ใช้ทาง
Systemic
ดังนี้
-
Steroid
-
Antiglaucoma
14.
อธิบายข้อบ่งชี้
วิธีการ
และภาวะแทรกซ้อนในการทำผ่าตัดต้อกระจกได้
3.
อาการปวดตาและปวดศีรษะ
( Eye
pain and
headache )
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะที่เกี่ยวเนื่องจากตา
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาเพื่อหาสาเหตุของอาการปวดตาได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้อย่างถูกต้อง
4.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงชนิดของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
5.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย Gross anatomy , Histology
, และ Physiology
ของตาได้
2.
อธิบาย
Pathology
, Pathogenesis
, Diagnosis , และ
Management
ของโรคที่มาด้วยอาการปวดตาหรือปวดศีรษะที่พบบ่อยได้
ได้แก่
-
Asthenopia
-
Acute glaucoma
-
Optic
neuritis
-
Endophthalmitis
-
Periorbital
and orbital
cellulites
3.
สามารถวัด
Visual
acuity และแปลผลได้
4.
สามารถใช้
Direct
ophthalmoscope ได้
5.
สามารถใช้
Schiotz
tonometer ได้
6.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย
Penlight
ได้
7.
สามารถวัด
Near
point of
convergence ได้
8.
อธิบายและสามารถตรวจ
Pupillary
reflex ได้
9.
อธิบายกลไกและชนิดของเลนส์ต่าง
ๆ ได้
10.
อธิบาย
Host
defence mechanism
ต่อภาวะการติดเชื้อได้
11.
สามารถอ่านฟิล์มเอกซเรย์
skull series
และ water
view และแปลผลการอ่าน
CT –Scan และ
Ultrasound ของตาได้
12.
อธิบาย
Pharmacokinetic
, Mechanism , และ
Side effect ของยาหยอดตาชนิดต่างๆ
เหล่านี้ได้
-
Antibiotic
- Steroid
- Mydriatic
and Cycloplegic
- Antiglaucoma
และยาที่ใช้ทาง
Systemic
ได้แก่
-
Antibiotic
-
Steroid
-
Antiglaucoma
-
Analgesic
4.
อาการตาแดง ( Red
eye )
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการตาแดง
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาเพื่อหาสาเหตุของอาการตาแดงเหล่านั้นได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้อย่างถูกต้อง
4.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงชนิดของโรคที่จะต้องส่งต่อให้จักษุแพทย์
5.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy , Histology ,
และ Physiology
ของตาได้
2.
อธิบายกลไกที่ทำให้เกิดอาการตาแดงได้ว่าเป็นจาก
Conjunctival vessels
หรือ
Ciliary vessels
3.
อธิบาย
Pathology
, Pathogenesis , Diagnosis,
และ Management
ของโรคในกลุ่ม
low risk
ได้แก่
-
Bacterial
conjunctivitis
-
Viral
conjunctivitis
-
Chlamydial
conjunctivitis
-
Allergic
conjunctivitis
-
Ophthalmia
neonatorum
-
Pterygium and Pingueculum
-
Phyctenular
และโรคในกลุ่ม
high risk
ได้แก่
-
Comeal ulcer
-
Anterior uveitis
-
Acute glaucoma
4.
อธิบาย
Host
defence mechanism ต่อภาวะการติดเชื้อได้
5.
อธิบายภาวะ
Hypersensitivity
ได้
6.
สามารถวัด Visual acuity
และแปลผลได้อย่างถูกต้อง
7.
สามารถใช้ Schiotz
tonometer ได้
8.
สามารถพลิกเปลือกตาบนได้
9.
สามารถตรวจ External eye ด้วย
Penlight ได้
10.
สามารถใช้ Loupe
magnification ได้
11.
สามารถเก็บ specimen
จากตาเพื่อทำการตรวจหาเชื้อจากการทำ
Gram’s stain,Wright’s
stain,AFB,KOH
ได้ และทราบถึง
media และ transport media
ชนิดต่างๆ
ในการทำ
culture รวมทั้งการแปลผลได้อย่างถูกต้อง
12.
อธิบาย
Phamacokinetic,Mechanism,และ
Side effects ของยาหยอดตาชนิดต่างๆดังนี้
- Antibiotic
-
Antihistamine
-
Vasoconstrictor
-
Mydriatic
-
Miotic
-
Beta blocker
-
Steroid
และยาที่ใช้ทาง
Systemic ต่างๆ
ดังนี้
- Antibiotic
-
Antihistamine
-
Steroid
-
Antiglaucoma
13.
อธิบายข้อบ่งชี้
วิธีการ
และภาวะแทรกซ้อนในการทำผ่าตัด
Pterygium
ได้
5.
Disease of the Vitreous and Retina
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเกี่ยวกับวุ้นลูกตาและจอประสาทตา
นักศึกษาสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาเพื่อหาอาการของโรคที่เกี่ยวกับวุ้นลูกตาและจอประสาทตาได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงภาวะการของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
4.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy, Histology, และ
Physiology ของตาได้
2.
อธิบาย
Pathology,
Pathogenesis, Diagnosis, และ Management
ของโรคที่เกี่ยวกับวุ้นลูกตาและจอประสาทตาได้
ได้แก่
- Leukocoria
- Retinoblastoma
- Retinopathy of
prematurity (Retrolental fibroplasia)
- Retinal detachment
- Vitreous floaters
- Vitreous hemorrhage
3.
สามารถวัด
Visual
acuity
และแปลผลได้
4.
สามารถใช้
Direct
ophthalmoscope ได้
5.
อธิบาย
Growth
and development
ของตาได้
6.
สามารถให้
Genetic
counseling
แก่ผู้ปกครองของผู้ป่วยที่เป็น
Retinoblastoma ได้
6.
Disease of the Eye lids and lacrimal system
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับหนังตาและระบบท่อน้ำตา
นักศึกษาสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาเพื่อวินิจฉัยโรคของหนังตาและระบบท่อน้ำตาได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้
4.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงภาวการณ์ของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
5.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy, Histology, และ Physiology ของตา
เปลือกตา
และระบบท่อน้ำตาได้
2.
อธิบาย
Source,
Function, และ Composition
น้ำตาได้
3.
อธิบายกลไกการหลั่งและการกำจัดน้ำตาได้
4.
อธิบาย
Pathology,
Pathogenesis, Diagnosis, และ Management
ของโรคที่เปลือกตาที่พบบ่อยได้
ได้แก่
- Inflammation
of the lids: Hordeolum, Chalazion, Blephalitis
- Position
defects of the lids: Entropion
,ectropion , Ptosis,Epicanthus
- Trichiasis
- Tumors
of the
lids :
Nevus,Xanthelasma,Hemangioma,Molluscum
contagiosum,Basal
cell CA.,
Sebaceous cell
CA.
5.
อธิบาย
Pathology,
Pathogenesis, Diagnosis, และ
Management ชองโรคระบบท่อน้ำตาได้
ได้แก่
- Infection
of the lacrimal apparatus: Dacryocystitis,Dacryoadenitis
- Dry
eye syndrome
- Nasolacrimal duct
obstruction
6.
อธิบาย
Host
defence mechanism ต่อภาวะการติดเชื้อได้
7.
สามารถวัด
Visual
acuity
และแปลผลได้
8.
สามารถพลิกเปลือกตาบนได้
9.
สามารถใช้
Loupe
magnification ได้
10.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย Penlight
ได้
11.
สามารถทำ
Lacrimal
sac irrigation ได้
12.
สามารถทำ
Schirmer’s
test และแปลผลได้
13.
สามารถย้อน
Grams’s
stain,KOH,AFB
และแปลผลได้
และทราบ
media และ
transport media
ชนิดต่างๆ
ที่จะส่ง
culture รวมทั้งแปลผลได้
14.
อธิบาย
Phamacokinetic,
Mechanism, และ Side effect
ชองยาหยอดตาชนิดต่างๆ
ดังนี้
- Antibiotic
-
tears substitutes
และยาที่ใช้ทาง
Systemic ได้แก่
- Antibiotic
-
Analgesic
15.
อธิบายข้อบ่งชี้
วิธีการ
และภาวะแทรกซ้อน
รวมทั้งสามารถทำผ่าตัด
Hordeolum,
Chalazion ได้
7.
ตาเหล่
( Strabismus)
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการตาเหล่
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาที่เกี่ยวกับโรคตาเหล่ได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงภาวการณ์ของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
4.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy, Histology และ Physiology
ของตาได้
2.
อธิบายการทำงานและระบบประสาทของกล้ามเนื้อตาได้
3.
อธิบาย
Pathology,
Pathogenesis, Diagnosis, และ
Management ของโรคที่เกี่ยวกับตาเหล่ได้
ได้แก่
- Pseudostrabismus
- Esodeviation
- Exodeviation
- Paralytic strabismus
- Amblyopia
4.
สามารถวัด
Visual
acuity และแปลผลได้
5.
สามารถใช้
Direct
ophthalmoscope ได้
6.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย
Penlight ได้
7.
สามารถตรวจ
Corneal
light reflex
และแปลผลได้
8.
สามารถทำ
Cover-Uncover
test และ
Alternate cover
test รวมทั้งแปลผลได้
9.
สามารถตรวจดูการทำงานของกล้ามเนื้อตาแต่มัดได้
10.
อธิบายภาวะ
Single
binocular vision
ได้
11.
อธิบายกลไกและชนิดของเลนส์ต่างๆได้
12.
อธิบายข้อบ่งชี้
วิธีการ
และภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดแก้ไขตาเหล่ได้
8.
Ocular
disorder associated with
System disease
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีปัญหาทางตาซึ่งเกี่ยวเนื่องมาจากโรคทาง
Systemic
disease นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาที่มีปัญหาทางตาซึ่งเกี่ยวเนื่องมาจากโรคทาง
Systemic
disease ได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงภาวการณ์ของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
4.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy,Histology,และ
Physiology ของตาได้
2.
อธิบาย
Pathology,Pathogenesis,Diagnosis,และ
Management ของโรคทางตาที่เกี่ยวเนื่องมาจากโรคทาง
Systemic disease
ที่พบบ่อยได้
ได้แก่
- Hypertensive
retinopathy
- Diabetic
retinopathy
- SLE
- Grave’s disease
- Vitamin
A deficiency
- Congenital
Rubella Syndrome
- Ocular complication
from drugs : Steroid,
Methanol,
Chloroquine,Ethambutol,Digitalis
3.
สามารถวัด
Visual
acuity และแปลผลได้
4.
สามารถใช้
Direct
ophthamoscope ได้
5.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย
Penlight ได้
6.
สามารถตรวจดูการทำงานของกล้ามเนื้อตาแต่ละมัดได้
7.
สามารถตรวจภาวะตาบอดสีได้
9.
Neuro-ophthalmology
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการทางตาที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาท
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาที่มีอาการทางตาที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาทได้
2.
ให้การวินิจฉัยแยกโรคได้
3.
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้
4.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงภาวการณ์ของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
5.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy,Histology,และ
Physiology ของตาได้
2.
อธิบายกายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยาของระบบประสาทที่เกี่ยวกับการมองเห็นได้
3.
อธิบาย
Pathology,Pathogenesis,Diagnosis
และ Management
ของโรคทาง
Neuro-ophthalmologyได้
ได้แก่
- Papilledema
- Optic
atrophy
- Optic neuritis
and Retrobulbar optic
neuritis
- Homer’s
syndrome
- Anisocoria
- Ocular
myasthenia gravis
4.
อธิบาย
Visual
field defect
ที่เกิดจาก
lesion ของ
optic pathways
ตำแหน่งต่างๆได้
5.
สามารถวัด
Visual
acuity และแปลผลได้
6.
สามารถใช้
Direct
ophthalmoscope ได้
7.
อธิบายและสามารถตรวจ
Pupillary
reflex ได้
8.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย
Penlight ได้
9.
สามารถตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตาแต่ละมัดได้
10.
อธิบาย
การใช้
Perimetry
ชนิดต่างๆได้และสามารถตรวจ
Visual field
ด้วยวิธี
Confrontation
test ได้
11.
สามารถอ่านฟิล์มเอกซเรย์
skull series,chest
และแปลผล
CT Scan
ของสมองได้
12.
อธิบาย
Phamacokinetics,Mechanism
และ Side
effect ของยาหยอดตาชนิดต่างๆเหล่านี้ได้
- Steroid
- Prostigmine
- Mestinon
10.
อุบัติเหตุต่อดวงตา
( Eye injury )
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เมื่อนักศึกษาพบผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บทางตา
นักศึกษาต้องสามารถ
1.
ชักประวัติและตรวจร่างกายทางจักษุวิทยาเพื่อหาภาวะการบาดเจ็บทางตาได้
2.
ให้การวินิจฉัยโรคได้
3.
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการได้อย่างถูกต้อง
4.
ให้การรักษาโรคได้และทราบถึงภาวะของโรคที่จะต้องส่งต่อจักษุแพทย์
5.
ให้คำแนะนำและป้องกันโรคได้
วัตถุประสงค์เฉพาะ
1.
อธิบาย
Gross
anatomy , Histology,
และ Physiology
ของตาได้
2.
อธิบาย
Pathology
, Pathogenesis
, Diagnosis , และ Management
ของภาวะการบาดเจ็บทางตาได้
ได้แก่
- Nonpenetrating
injury : Corneal abrasion,Corneal
and Conjunctival
Foreign Body,
Chemical bum, UV burn,
Contusions,Rutures
- Penetrating injury :
Intraocular Foreign
Body , Laceration
- Injuries
of the
eye lids
and lacrimal
apparatus
- Injuries
of the
orbit and
its contents
3.
สามารถวัด
Visual
acuity และแปลผลได้
4.
สามารถใช้
Direct
ophthalmoscope ได้
5.
สามารถตรวจ
External
eye ด้วย
Penlight ได้
6.
สามารถใช้
Loup
magnification ได้
7.
สามารถตรวจการเคลื่อนไหวของกล้าวเนื้อตาได้
8.
สามารถพลิกเปลือกตาบนได้
9.
สามารถทำ
Lacrimal
sac irrigation
ได้
10.
อธิบายและสามารถตรวจ
Pupillary
reflex ได้
11.
สามารถอ่านฟิล์มเอกซเรย์
skull series
, water view ,
moving eye
ball และแปลผล
CT Scan และ
Ultrasound ของตาได้
12.
สามารถทำ
Pressure
patch ของตาที่มี
Corneal abrasion
ได้
13.
สามารถทำ
Eye
irrigation ของตาที่มี
Chemical burn
ได้
14.
สามารถ
Remove
conjunctival and
corneal FB.
ได้
15.
อธิบายภาวะ
Sympathetic
ophthalmia ได้
16.
อธิบาย
Pharmacokinetic,Mechanism,และ
Side effect
ของยาหยอดตาเหล่านี้ได้
- Antibiotic
- Steroid
- Mydriatic
and Cycloplegic
17.
อธิบายข้อบ่งชี้
วิธีการ
และภาวะแทรกซ้อนในการทำ
Enucleation
และ Evisceration
ได้
ตารางการศึกษา
*********************
การจัดการเรียนการสอน
1.
การปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยใน
1.1 Ward
work
รับผู้ป่วยในในสาขาจักษุวิทยาตามที่อาจารย์กำหนดให้
และเขียนรายงานผู้ป่วยทุกราย
1.2 Teaching
ward round
ร่วม
ward round
และ
bed side
teaching กับอาจารย์ในสาขาจักษุวิทยา
2.
การปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยนอก
2.1 ออกตรวจผู้ป่วยทางจักษุวิทยาที่แผนกผู้ป่วยนอกสัปดาห์ละ
3-4 ครั้ง
ตั้งแต่เวลา
09.00-12.00 น.
โดยมีอาจารย์เป็นที่ปรึกษา
2.2 ทำหัตถการและผ่าตัดเล็กทางจักษุวิทยาตามที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์
3.
การปฏิบัติงานในห้องผ่าตัด
3.1 เข้าดูหรือช่วยทำผ่าตัดทางจักษุวิทยาอย่างน้อย
1 ครั้ง
ตั้งแต่เวลา
09.00-12.00 น.
4.
Topic discussion
4.1
ร่วม group
discussion กับอาจารย์ตาม
topic ที่ได้กำหนดให้
ตั้งแต่เวลา
13.00-15.00 น.
4.2 มีการฉาย
Side
และ
Videotape ที่เกี่ยวข้องกับ
topic นั้นๆ
5.
ฟังการบรรยายในหัวข้อต่างๆที่สำคัญในสัปดาห์แรกของการปฏิบัติงาน
6.
การร่วมกิจกรรมของคณะ
6.1 Faculty
activity ทุกวันพุธ
และวันศุกร์
เวลา 13.00-15.00
น.
การประเมินผล
เมื่อนักศึกษาสำเร็จการศึกษาในช่วงเวลา
3 สัปดาห์ที่ผ่านแผนกจักษุวิทยาแล้วจะมีการประเมินผลดังนี้
1.
ภาคปฏิบัติ
40 คะแนน
1.1 การชักประวัติผู้ป่วย
5 คะแนน
1.2 การตรวจร่างกายผู้ป่วย
5 คะแนน
1.3 การทำหัตถการ
5 คะแนน
1.4 การเขียนรายงานผู้ป่วย
5 คะแนน
1.5 ความเอาใจใส่และการค้นคว้า
5 คะแนน
1.6 การรักษาระเบียบวินัยและความรับผิดชอบในหน้าที่
5 คะแนน
1.7 ทัศนคติและมนุษยสัมพันธ์ต่อผู้ป่วย
5 คะแนน
1.8 ทัศนคติและมนุษยสัมพันธ์ต่ออาจารย์และผู้ร่วมงาน
5 คะแนน
2.
ภาคทฤษฎี
60 คะแนน
2.1 การสอบปากเปล่า
case
ผู้ป่วยที่แผนกผู้ป่วยนอก
15 คะแนน
2.2 การสอบข้อเขียน
เป็นการสอบแบบปรนัยและอัตนัย
45 คะแนน
คะแนนรวมทั้งหมด
100 คะแนน
นำคะแนนที่ได้ไปประเมินผลโดยรายงานเป็นเกรด
รายละเอียดการประเมินผล
1.
การซักประวัติ
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
ซักประวัติที่สำคัญได้ครบถ้วน
4
ขาดประวัติที่สำคัญเล็กน้อย
(< 20%)
3
ขาดประวัติที่สำคัญพอควร
(< 50%)
2
ขาดประวัติที่สำคัญมาก
(> 50%)
1
ขาดประวัติที่สำคัญมาก
(> 50%) และ
มีความผิดพลาดมาก
(> 50%)
2.
การตรวจร่างกาย
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
ตรวจร่างกายที่สำคัญได้ถูกต้องครบถ้วน
4
ขาดการตรวจร่างกายที่สำคัญเล็กน้อย
(< 20%)
3
ขาดการตรวจร่างกายที่สำคัญพอควร
(< 50%)
2
ขาดการตรวจร่างกายที่สำคัญมาก
(> 50%)
1
ขาดการตรวจร่างกายที่สำคัญมาก
(> 50%) และ
มีความผิดพลาดมาก
(> 50%)
3.
การทำหัตถการ
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
ปฏิบัติครบถ้วนและอธิบายผลถูกต้องในผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลของตนทุกราย
4
ปฏิบัติครบถ้วนแต่อธิบายผลผิดพลาดเล็กน้อย
3
ปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามเกณฑ์
แต่ยังปฏิบัติส่วนใหญ่และอธิบายผลถูกต้อง
2
ไม่ค่อยปฏิบัติตามเกณฑ์
แต่อธิบายผลถูกต้อง
1
ไม่ค่อยปฏิบัติและอธิบายผลผิดพลาดมาก
(> 50%)
0
ไม่ยอมปฏิบัติเองเลย
4. การเขียนรายงานผู้ป่วย
(คะแนนเต็ม 5
คะแนน)
5
เขียนประวัติและผลการตรวจร่างกายและวิเคราะห์
วางแผนแก้ไขปัญหาครบถ้วนถูกต้องทุกหัวข้อ
4
เขียนเฉพาะประวัติที่สำคัญ
เขียนผลการตรวจร่างกายและวิเคราะห์
วางแผนแก้ไขปัญหาถูกต้องทุกหัวข้อ
3
เขียนเฉพาะประวัติที่สำคัญ
เขียนผลการตรวจร่างกายและวิเคราะห์
วางแผนแก้ไขปัญหาไม่ครบถ้วน
2
เขียนประวัติโดยใช้ภาษาผิด
เขียนผลการตรวจร่างกายและวิเคราะห์ไม่ครบถ้วน
ใช้ technical term ผิด
1
เขียนประวัติและผลการตรวจร่างกายน้อยกว่า
50% วิเคราะห์
วางแผนแก้ไขปัญหาผิดพลาด
5.ความเอาใจใส่และการค้นคว้าความรู้ด้วยตนเอง
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
แสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่สม่ำเสมอ
โดยไม่ต้องเตือน
4
แสวงหาความรู้เพิ่มเติมดีหลังจากเตือนเพียงบางครั้ง
3
แสวงหาความรู้เพิ่มเติมดีหลังจากเตือนหลายครั้ง
2
ไม่ค่อยสนใจแสวงหาความรู้
ตักเตือนหลายครั้งแล้วดีขึ้นเพียงเล็กน้อย
1
ไม่ค่อยสนใจแสวงหาความรู้
ตักเตือนแล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลง
6.การรักษาระเบียบวินัยและการรับผิดชอบในหน้าที่
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
กิริยามารยาทและการแต่งกายสุภาพเรียบร้อยตามระเบียบ
ตรงต่อเวลาเสมอ
ไม่นำอาหาร / ขนม
มารับประทานในห้องเรียน
4
กิริยามารยาทและการแต่งกายสุภาพเรียบร้อยตามระเบียบ
มาสายเพียง 1-2
ครั้ง
ไม่นำอาหาร / ขนม
มารับประทานในห้องเรียน
3
กิริยามารยาทและการแต่งกายสุภาพไม่ค่อยสุภาพเรียบร้อยบางครั้ง
ตรงต่อเวลาเสมอ
ไม่นำอาหาร / ขนม
มารับประทานในห้องเรียน
2
กิริยามารยาทและการแต่งกายสุภาพไม่ค่อยสุภาพเรียบร้อย
และมาสายบางครั้ง
ไม่นำอาหาร / ขนม
มารับประทานในห้องเรียน
1
กิริยามารยาทและการแต่งกายสุภาพสุภาพเรียบร้อย
แต่มาสายบ่อย
ไม่นำอาหาร / ขนม
มารับประทานในห้องเรียน
0
กิริยามารยาทและการแต่งกายสุภาพไม่ค่อยสุภาพอยู่เสมอ
/ มาสายบ่อย
/ นำอาหาร /
ขนม
มารับประทานในห้องเรียน
7.มนุษยสัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้ป่วย
/ ญาติผู้ป่วย
(คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
มีมนุษยสัมพันธ์ดี
ใช้ภาษาเข้าใจง่าย
อธิบายผู้ป่วยทุกราย
4
มีมนุษยสัมพันธ์ดี
ใช้ภาษาเข้าใจง่าย
3
มีมนุษยสัมพันธ์ดี
แต่ใช้ภาษาไม่ค่อยเหมาะสม
2
ไม่ค่อยสนใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย
แต่ใช้ภาษาเข้าใจง่าย
1
ไม่ค่อยสนใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย
และสื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่อง
8. มนุษยสัมพันธ์และกิริยามารยาทต่ออาจารย์
ผู้ร่วมงาน (คะแนนเต็ม
5 คะแนน)
5
ดีมากต่อทุกๆ
คน
4
ดีมากเฉพาะต่ออาจารย์และผู้ป่วย/ญาติ
คนอื่นๆ
ดีปานกลาง
3
ดีมากเฉพาะต่ออาจารย์
คนอื่นๆ
ดีปานกลาง
2
ดีปานกลางต่ออาจารย์และผู้ป่วย/ญาติ
คนอื่นๆ
ค่อนข้างแย่
1
ดีปานกลางต่ออาจารย์
คนอื่นๆ
ค่อนข้างแย่
0
ไม่มีมนุษยสัมพันธ์
หรือ
กิริยามารยาทแย่มาก
หนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน
1.
Vaughan
D., Asbury
T., General
OPhthalmology 15th
ed., 1999.
2.
Newell
F.W., Ophthalmology,
Principles and
concepts 7th ed.,1992.
3.
Kanski
J.J., Clinical
Ophthalmology 4thed.,
1999.
4.
Spalton
D.J., Hitchings
R.A., Hunter
P.A., Atlas
of Clinical
Ophthlamology.Gower Medical
Publishing.
5.
Moses R.A.,
Adler’s Physiology
of the
eye. Clinical application
9thed.,
1992.
6.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์,
บรรณาธิการ.
จักษุวิทยาสำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป.
กรุงเทพ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน,
2546
7.ศักดิ์ชัย
วงศกิตติรักษ์
โกศล คำพิทักษ์,
บรรณาธิการ.
ตำราจักษุวิทยา
. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน,
2548
ภาคผนวก
เกณฑ์มาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
พ.ศ. 2545
(การประชุมคณะกรรมการแพทยสภา
14 พย. 2545)
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตา
หมวดที่
2
จำแนกตามระบบหรือชนิดของความผิดปกติ
2.1 อาการและปัญหาสำคัญ
ผู้ประกอบวิชาชีเวชกรรมต้องมีความรู้เกี่ยวกับพยาธิกำเนิด
พยาธิสรีรวิทยา
สามารถวินิจฉัยแยกโรคและปฏิบัติรักษาเบื้องต้นได้เหมาะสมสำหรับอาการสำคัญ
ดังต่อไปนี้
……..
-เคืองตา
ตาแดง ปวดตา
มองเห็นไม่ชัด
ตาบอด ตาโปน
ตาเหล่
……….
2.2 โรค/ภาวะ/กลุ่มอาการฉุกเฉิน
(รวมทุกระบบ)
กลุ่มที่ 1
โรค/กลุ่มอาการ/ภาวะฉุกเฉินที่ต้องรู้กลไกการเกิดโรค
สามารถให้การวินิจฉัยเบื้องต้นและให้การบำบัดรักษาได้อย่างทันท่วงทีตามความเหมาะสมของสถานการณ์
รู้ข้อจำกัดของตนเอง
และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์มากกว่าได้อย่างเหมาะสม
………..
-acute corneal abrasion and ulcer
-acute glaucoma
……….
2.3 โรคตามระบบ
I. Infectious and parasitic diseases
II. Neoplasm
กลุ่มที่ 3
โรค/กลุ่มอาการ/ภาวะที่ต้องรู้กลไกการเกิดโรค
สามารถให้การวินิจฉัยแยกโรค
และรู้หลักในการดูแลรักษา
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ตัดสินใจส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพ
การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
- benign and malignant neoplasm of eyes
- ……
VII. Disorders of the eye and adnexa
กลุ่มที่ 2
โรค/กลุ่มอาการ/ภาวะที่ต้องรู้กลไกการเกิดโรค
สามารถให้การวินิจฉัย
ให้การบำบัดรักษาได้ด้วยตนเอง
รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพ
การส่งเสริมสุขภาพ
และการป้องกันโรคในกรณีที่โรครุนแรง
หรือซับซ้อนเกินความสามารถ
ให้พิจารณาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและส่งต่อผู้ป่วยต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ
-hordeolum
-chalazion
-conjunctivitis
กลุ่มที่ 3
โรค/กลุ่มอาการ/ภาวะที่ต้องรู้กลไกการเกิดโรค
สามารถให้การวินิจฉัยแยกโรค
และรู้หลักในการดูแลรักษา
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ตัดสินใจส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพ
การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
-disorders of ocular muscles, refraction & accommodation (strabismus,
myopia, presbyopia, hypermetropia, astigmatism)
-dacryostenosis, dacryocystitis
-pterygium
-keratitis, corneal ulcer
-uveitis
-cataract
-glaucoma
XIX. Injury, poisoning and consequences of external causes
กลุ่มที่ 2
โรค/กลุ่มอาการ/ภาวะที่ต้องรู้กลไกการเกิดโรค
สามารถให้การวินิจฉัย
ให้การบำบัดรักษาได้ด้วยตนเอง
รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพ
การส่งเสริมสุขภาพ
และการป้องกันโรคในกรณีที่โรครุนแรง
หรือซับซ้อนเกินความสามารถ
ให้พิจารณาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและส่งต่อผู้ป่วยต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ
-eye injury and foreign body on external eye
-burns
หมวดที่
3
ทักษะการตรวจโดยใช้เครื่องมือพื้นฐาน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
และการทำหัตถการ
3.1 การตรวจเพื่อการวินิจฉัยโดยใช้เครื่องมือพื้นฐาน
สามารถบอกข้อบ่งชี้
ขั้นตอนการตรวจ
กระทำได้ด้วยตนเองและแปลผลการตรวจได้ถูกต้อง
…………
3.1.4 Snellen chart (visual acuity measurement)
3.1.5 Ishihara chart (color blindness measurement)
3.1.6 Schiotz tonometer
3.1.7 Ophthalmoscope
………….
3.5 หัตถการที่มีความจำเป็นหรือมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ
3.5.2 หัตถการที่มีความซับซ้อนกว่าหัตถการพื้นฐาน
และมีความสำคัญต่อการรักษา
เมื่อจบแพทยศาสตร์บัณฑิต
สามารถบอกข้อบ่งชี้
ขั้นตอนวิธีการทำ
บอกภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดได้ถูกต้อง
สามารถทำภายใต้การแนะนำได้ถูกต้อง
และเมื่อผ่านการเพิ่มพูนทักษะแล้วต้องสามารถทำได้ด้วยตนเอง
-removal of foreign body from conjunctiva
…………….
3.5.5 หัตถการเฉพาะทาง
-incision and curettage (extenal hordeolum)
-excision of pterygium
-cataract and glaucoma surgery
-probing and irrigation of nasolacrimal duct
……………………………………………
ข้อแนะนำในการรักษาผู้ป่วยทางจักษุวิทยาสำหรับแพทย์ทั่วไป
ในการตรวจรักษาผู้ป่วยที่ห้องแพทย์เวรซึ่งมาด้วยปัญหาเกี่ยวกับทางตานั้น
1.
ถ้าหาก extern
สามารถให้การรักษาก็ให้การรักษาเลย
และนัดผู้ป่วยให้มา
follow up
ที่
OPD ตาในวันรุ่งขึ้นเวลาราชการ
เพื่อให้ได้ติดตามการรักษาต่อไป
2.
ถ้าหากให้การวินิจฉัยหรือรักษาไม่ได้ให้ตามอาจารย์แพทย์ที่อยู่เวรได้ตลอดเวลา
การปฏิบัติเบื้องต้นในภาวะฉุกเฉินทางจักษุวิทยา
Burn
Burn
ที่โคนลูกตา
ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด
เช่น กรด
ด่าง ความร้อน
ที่มี
corneal involvement
ต้องการการรักษาดังนี้
1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ
2. ใช้เครื่องมือถ่างตาเปิดหนังตาผู้ป่วยไว้
พร้อมกับหยอดยาชา
Ophthetic
eye drop
หรือ
Tetracaine eye drop
3.
ใช้น้ำเกลือหรือน้ำกลั่น
ขนาด 1
ลิตร พร้อมสาย
IV (
ไม่ต้องมีเข็ม
) แขวนกับที่แขวนแล้วล้างตาข้างนั้นทันที่
( เปิด free
flow )
4. ล้างจนกว่าแน่ใจว่ากรด
ด่าง หรือ
debris ออกหมด
(
การล้างอาจใช้น้ำประมาณ
3-4 ลิตรก็ได้ )
5. ย้อม
cornea
ด้วย
fluorescein paper
เพื่อดูขนาดของแผล
6. ป้าย
antibiotics
eye ointment
และปิดตาแน่น
7. ให้ยาแก้ปวด
8. นัดพบจักษุแพทย์ในวันรุ่งขึ้น
Superficial
foreign body
ที่ตา
1. Conjunctiva
ก) ถ้า
F.B. อยู่ที่
lower palpebral
conjunctiva,bulbar
conjunctiva หรือ
lower fornix มักไม่มีปัญหาให้ปฏิบัติดังนี้
1. หยอดยาชา
(
หรือไม่หยอดยาชาก็ได้ในกรณีที่คิดว่าจะเขี่ยออกง่าย
แต่ถ้าหยอดยาชา
หลังเขี่ย
F.B.
ออกแล้วต้องปิดตาผู้ป่วย
)
2. ใช้
cotton
– bud ชุบ
normal saline
เขี่ย
F.B. ออก
3. หยอด
antibiotic
eye drop
4.
ปิดตาด้วย
eyepad (
ในกรณีที่ไม่หยอดยาชา
ไม่ต้องปิดตาก็ได้
)
ข) ถ้า
F.B.
อยู่ที่
upper palpebral
conjunctiva หรือ
upper fornix
ต้องพลิกหนังตาบน
แล้วปฏิบัติดังกล่าวตามข้อ
ก
2
Cornea
ส่วนใหญ่
F.B.
ที่ติดที่
cornea เป็นเศษเหล็กมักจะมีสนิมเหล็กด้วย
ให้ปฏิบัติดังนี้
1. หยอดยาชา
2. ใช้
cotton-bud ชุบ
normal saline เขี่ย
F.B. ออกก่อน
3. ถ้าใช้
cotton-bud
เขี่ยแล้วไม่ออกหมดให้ใช้เข็มฉีดยาพร้อม
syringe เป็นที่จับ
(
เหมือนจับปากกา
) เขี่ย
F.B. พร้อมสนิมเหล็กออกให้หมด
4. ป้าย
antibiotic
eye ointment
5.
ปิดตาแน่น
24 ชั่วโมง
6. นัดผู้ป่วยมา
OPD
จักษุในวันรุ่งขึ้น
ปัญหาที่พบบ่อยทางจักษุวิทยา
1. ตาแดง
2. เจ็บตา
ปวดตา
3. ตามัว
4. อุบัติเหตุที่ตา
1.
ตาแดง
ผู้ป่วยตาแดงทำการวัดสายตา
1.1 ระดับสายตาดี
นึกถึง
เยื่อบุตาอักเสบ
ควรถามต่อว่ามีขี้ตาหรือไม่มี
ถ้ามีขี้ตา
ควรเป็น
acute
bacterial conjunctivitis
ถ้าไม่มีขี้ตา
แต่มีน้ำตาไหลมาก
ควรเป็น
acute
allergic conjunctivitis
การรักษา
acute allergic
conjunctivitis ให้
antibiotics eye drop
ถ้าเป็นมากก็ให้ทุก
1 ชั่วโมง
ส่วนมากให้วันละ
4 ครั้ง
การรักษา
acute allergic
conjunctivitis ให้
antinflammatory eye drop
เช่น
steroid eye
drop วันละ
4 ครั้ง
1.2 ระดับสายตาเลว
1.2.1 ดูว่ามีแผลที่กระจกตาหรือไม่
ถ้ามีนึกถึง
corneal
ulcer
1.2.2 ไม่มีแผลที่กระจกตาให้วัดความดันของลูกตา
ความดันของลูกตาสูง
นึกถึงต้อหิน
ความดันของลูกตาไม่สูง
นึกถึงโรคกระจกตาอักเสบ
ม่านตาอักเสบ
ฯลฯ
การรักษา
รักษาตามสาเหตุ
2.
เจ็บตา
ปวดตา
2.1 ระดับสายตาดี
ดูว่ามีวัตถุแปลกปลอมที่เยื่อบุตาหรือกระจกตาหรือไม่
2.1.1 มีวัตถุแปลกปลอมที่เยื่อบุตาหรือกระจกตาให้ย้อมกระจกตาด้วย
fluorescein
paper
- ถ้า
Positive แสดงว่าเป็น
corneal abrasion การรักษา
ป้าย antibioties
ointment แล้วปิดตาแน่น
24 ชั่วโมง
- ถ้า
negative
แสดงว่าไม่มีแผลถลอกของกระจกตา
ให้ดูว่ามีตาแดงร่วมด้วยหรือไม่
- มีตาแดงร่วมด้วย
ให้กลับไปอ่าน
1.1
- ไม่มีตาแดงร่วมด้วย
ควรคิดถึง
eyes strain
2.2
ระดับสายตาเลวลง
2.2.1 มีตาแดงร่วมด้วย
ให้กลับไปอ่าน
1.2
2.2.2 ไม่มีตาแดงร่วมด้วย
ให้ดู fundus
- ถ้า
disc แดง
นึกถึง
papillitis
- disc
ปกตินึกถึง
retrobulbar neuritis
3.
ตามัว
3.1 มีอาการปวดร่วมด้วย
ให้วัดความดันของลูกตา
3.1.1 ถ้าความดันของลูกตาสูง
นึกถึงต้อหิน
3.1.2 ถ้าความดันของลูกตาไม่สูง
ให้กลับไปอ่าน
2.2.2
3.2 ไม่มีอาการปวดร่วมด้วย
3.2.1 ไม่โดนอุบัติเหตุที่ตา
- ให้ดูเลนส์ว่ามีต้อกระจกหรือไม่
- ดู
fundus
ว่ามี
retinal detachment,
central retinal
artery occlusion,
central retinal
vein occlusion,
branch retinal
artery occlusion,
branch retinal
vein occlusion
เป็นต้น
3.2.2 โดนอุบัติเหตุที่ตา
ให้ดู 4
4.
อุบัติเหตุที่ตา
4.1 ระดับสายตาปกติหรือเท่าเดิม
ถ้าตาแดง
ให้กลับไปอ่าน
1
ถ้าเจ็บตา
ปวดตา ให้กลับไปอ่าน
2
4.2 ระดับสายตาผิดปกติ
( จากเดิม
ถ้าเคยวัดมาก่อน
) ควรปรึกษาแพทย์ประจำบ้านด้วยเสมอ
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ
โดยการตรวจดู
ดังนี้
- anterior
chamber ว่ามีเลือดหรือไม่
( traumatic hyphema )
ถ้าเป็น
traumatic ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ห้ามกลับบ้าน
- เลนส์หลุดหรือไม่
- fundus
หา lesion
ที่
retina
- rupture
eyeball หรือไม่
คำศัพท์ทางตาที่ควรทราบ(เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการรับ-ส่งผู้ป่วยกับจักษุแพทย์)
Uvea
=
คือเนื้อเยื่อชั้นกลางของลูกตาประกอบด้วย
ส่วนหน้าคือม่านตา(iris)
ส่วนกลางคือ
ciliary body และส่วนหลังคือ
choroids สำหรับเนื้อเยื่อชั้นนอกของลูกตา
ด้านหน้าคือ
กระจกตา(cornea) ด้านหลังคือ
sclera ส่วนเนื้อเยื่อชั้นในของลูกตาคือ
จอประสาทตา (retina)
Ciliary body
=
เป็นส่วนที่มีหน้าที่ในการสร้างน้ำ
aqueous
ในลูกตาและมีหน้าที่สำคัญในการเกิด
accommodation ของเลนส์
อยู่ที่บริเวณใกล้ฐานของ
iris
Anterior chamber
=
คือช่องระหว่างด้านใน
cornea
ถึงแนว iris
มีของเหลวใสเรียกว่า
aqueous อยู่เหมือนใน
posterior
chamber(ช่องระหว่างแนว
iris ถึงเลนส์ตา) ส่วนวุ้นลูกตา(vitreous)อยู่ใน vitreal
cavity คือ space ส่วนใหญ่ของลูกตาตั้งแต่หลังเลนส์ตาไปถึงจอประสาทตา
Trabecular meshwork
= คือทางระบาย
aqueous
ออกจากลูกตาจึงมีความสำคัญในการควบคุมความดันลูกตา(intraocular
pressure)
Phaco-
=
เลนส์ตา(lens)
เช่น
phacoemulsification
คือการสลายต้อกระจกของเลนส์ตา
Cyclo-
=
ciliary body มีหน้าที่ในการสร้าง
aqueous
ในช่องหน้าเลนส์ตา
Kera-
=
กระจกตา(cornea)
เช่น keratitis คือการอักเสบของกระจกตา
รูปแสดงกายวิภาคของตา
คำศัพท์เกี่ยวกับการตรวจตา
VA
=
visual acuity คือความสามารถในการมองเห็น
FC,HM
=
finger count,hand motion
PJ,PL,
with PH.
=
คือการให้ผู้ป่วยมองผ่านรู(pin
hole) ถ้าสามารถมองเห็นได้ดีกว่าตาเปล่าแสดงว่าผู้ป่วยน่าจะมีสายตาผิดปกติ(refractive
error)
IOP.
=
ความดันภายในลูกตา(intraocular
pressure) ค่าปกติอยู่ระหว่าง
10-22 mmHg.มักไม่เกิน
21 mmHg.ภาวะความดันภายในลูกตาสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคต้อหิน
คำศัพท์เกี่ยวกับโรคทางตาที่ควรรู้จัก
Entropion
=
หนังตาม้วนเข้าอาจทำให้อาการเคืองตาได้
Ectropion
=
หนังตาม้วนออกอาจทำให้มีอาการน้ำตาไหลมากผิดปกติ
Ptosis
=
หนังตาตก
หนังตาบนตกถ้าบังตำแหน่งเงาของไฟฉายที่ส่องตรวจตา(light reflex) แสดงว่ามีการบังการมองเห็น(บัง
visual axis)
Hordeolum(Stye)
=
ตากุ้งยิงคือการติดเชื้อของต่อมบริเวณเปลือกตา
Chalazion
=
คือการอักเสบของต่อมบริเวณเปลือกตาแบบไม่ติดเชื้อ
Trichiasis
=
ขนตาทิ่มตา
Esotropia
=
ตาเขเข้าใน
Exotropia
=
ตาเขออกนอก
Eso-,Exophoria
=
ตาเขซ้อนเร้น
Amblyopia
=
ตาขี้เกียจเกิดจากการไม่ได้พัฒนาการมองเห็นในช่วง
8-10 ขวบแรก
Blow-out fracture
=
ภาวะบาดเจ็บที่มี
fracture
floor of orbit ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มักแตกหักเมื่อมี
blunt
trauma ต่อกระบอกตา
Hyphema
=
เลือดออกในช่องหน้าลูกตา(anterior
chamber)
Hypopyon
=
หนองในช่องหน้าลูกตา
Endophthalmitis
=
การอักเสบในลูกตาทั้งลูก
เป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อตา
2
ชั้นและมีการอักเสบของวุ้นลูกตา(vitritis)
ร่วมด้วย
Emmetropia
=
สายตาปกติคือภาวะที่แสงตกที่จอประสาทตาพอดี
Refractive error
=
ภาวะสายตาผิดปกติ
คือ hyperopia,myopia,astigmatism
และ presbyopia
Hyperopia
=
สายตายาวคือภาวะที่แสงตกเลยจอประสาทตา
Myopia
=
สายตาสั้นคือภาวะที่แสงตกก่อนถึงจอประสาทตา
Astigmatism
=
สายตาเอียงคือสายตาในแต่ละระนาบของกระจกตาสั้นยาวไม่เท่ากันในตาข้างเดียวกัน
Anisometropia
=
คือภาวะสายตาสั้นยาวไม่เท่ากันระหว่าง
2 ตา
Presbyopia
=
สายตาคนแก่
มักพบเมื่ออายุประมาณ
40ปีขึ้นไปจากความสามารถในการเพ่ง
(accommodation) ลดลง
ผู้ป่วยมองไกลชัดปกติแต่มองใกล้ไม่ชัด
ต้องใช้แว่นกำลังบวก(reading
glasses)ช่วยในการมองใกล้
Pinguecula
=
ต้อลมคือการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อใต้เยื่อบุตา
เป็นเยื่อตาขาวหนาตัวขึ้นเป็นก้อนบริเวณตาขาว
Pterygium
=
ต้อเนื้อคือการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อใต้เยื่อบุตา
เห็นเป็นเนื้อเยื่อสามเหลี่ยมลามเข้าบริเวณกระจกตา(cornea)
Cataract
=
ต้อกระจกคือการขุ่นมัวของเลนส์ตา
Glaucoma
=
ต้อหินคือภาวะที่มีการทำลาย
optic
disc และมีการเสียของลานสายตา
โดยมีความดันภายในลูกตา(intraocular
pressure)สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ROP.
=
โรคจอประสาทตาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด(retinopathy
of prematurity) เป็นโรคจอประสาทตาในทารกที่คลอดก่อนกำหนดทำให้เส้นเลือดจอประสาทตายังเจริญไม่เต็มที่จึงทำให้จอประสาทตาลอกได้
คำศัพท์เกี่ยวกับการรักษาตา
ICCE
=
คือการผ่าตัดต้อกระจกแบบเอาเลนส์ที่เป็นต้อกระจกออกทั้งอัน
ECCE
=
คือการผ่าตัดต้อกระจกแบบเหลือเยื่อหุ้มเลนส์ตาไว้สำหรับใส่เลนส์แก้วตาเทียม(IOL)
Phacoemulsification
=
คือการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสลายต้อกระจกแล้วดูดออก
เหลือเยื่อหุ้มเลนส์ไว้ใส่
IOL.ได้เช่นกันแต่ขนาดแผลจะเล็กกว่า
IOL.
=
intraocular lens คือเลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่หลังการผ่าตัดต้อกระจก
Surgical PI.
=
surgical peripheral iridectomy คือการผ่าตัดม่านตา(iris)บริเวณริมเพื่อเปิดทาง
drain ของ aqueous จาก
posterior
chamber มาที่
anterior chamber เพื่อลด intraocular pressure ในโรคต้อหิน
มักมองเห็นเป็นรูของ Iris
ที่ตำแหน่ง periphery
LPI.
=
laser peripheral iridotomy คือการใช้เลเซอร์ยิงม่านตาบริเวณริมเพื่อลดความดันตา
Trabeculectomy
=
การผ่าตัดทำทางระบาย
aqueous ออกจาก anterior
chamber ในผู้ป่วยโรคต้อหิน
เพื่อลดความดันภายในลูกตา
Evisceration
=
คือการ
remove
intraocular content ออกเหลือเฉพาะชั้นนอกสุด(sclera) นิยมทำใน
endophthalmitis
เพราะช่วยป้องกันเชื้อกระจายไปเนื้อเยื่อรอบลูกตา
Enucleation
=
คือการเอาลูกตาออกรวมทั้งชั้น
sclera
ด้วย
ข้อบ่งชี้ที่พบได้บ่อย
คือ intraocular malignancy
Exenteration
=
คือการเอาลูกตาออกรวมทั้ง
soft
tissue รอบลูกตาด้วย
Penetrating Keratoplasty(PK.)=
คือการเปลี่ยนกระจกตาจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้วมาแทน
ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นดีได้เฉพาะในรายที่การมองไม่เห็นเกิดจากความผิดปกติของกระจกตาเท่านั้น
เช่น corneal
scar เป็นต้น
PRK.
=
photo-refractive keratectomy เป็นวิธีการใช้แสงเลเซอร์(Excimer
Laser) ฝานบริเวณกลางกระจกตาเพื่อแก้ไขภาวะสายตาสั้น
LASIK
=
laser in situ keratomileusis คือการแก้ไขภาวะสายตาสั้นโดยการใช้
excimer Laser ฝานกระจกตาหลังจากใช้มีดขนาดเล็ก(microkeratome)เปิดผิวกระจกตาเป็นบานพับก่อน
เมื่อยิงเลเซอร์แล้วจึงปิดผิวกระจกตากลับมาตามเดิมทำให้ไม่ค่อยมีอาการเจ็บตาหลังผ่า
รายการส่วนประกอบและราคายาทางตาที่พบบ่อย
กลุ่ม/Trade
name |
ส่วนประกอบ |
cc |
ราคาประมาณ(บาท) |
ANTIBIOTIC |
|||
Chlor-oph
ed. |
Chloram.5mg/cc |
10 |
30 |
Garamycin
ed. |
3%
Gentamicin sulfate |
5 |
85 |
Flucithalmic
eo. |
Fusidic
acid |
5g. |
70 |
Kemicitin
eo. |
Chloram.1.00% |
5g. |
40 |
Neopolycin
ed. |
Neomycin1.75mg+Polymyxin
B5000u+Gramicidin25mg |
5 |
70 |
Poly-oph
ed. |
Neomycin
2 mg+Polymyxin B5000u+Gramicidin25mg |
10 |
49 |
Terramycin
eo. |
Oxytetracycline0.5%+Polymyxin
B10000u |
3.5g. |
27 |
ANTIBIOTIC+STEROID |
|||
Dexoph
ed. |
Dexa.1mg+Neomycin0.35% |
4 |
33 |
Sofradex
ed. |
Dexa.500mg.+Framycetin
5mg.+Gramicidin50mg |
8 |
90 |
CORTICOSTEROIDS |
|||
Flucon
ed. |
Flurometholone0.1% |
5 |
67 |
FML
ed. |
Flurometholone0.1%+ |
5 |
80 |
MIOTICS |
|||
Pilocarpine
ed. |
1,2,4%
Pilocarpine HCl |
5 |
40,
60, 80 |
ANTIGLAUCOMA |
|||
Glauco-Oph
ed. |
0.5%Timolol
maleate |
5 |
240 |
Timoptol
ed. |
0.5%Timolol
maleate |
5 |
220 |
ANTIHISTAMINE,VASOCONSTRICTORSS |
|||
Hista-Oph
ed. |
0.05%Antazoline
HCl+0.04%Tetryzoline HCl |
10 |
60 |
Spersallerg
ed. |
0.05%Antazoline
HCl+0.04%Tetryzoline HCl |
10 |
127 |
Alomide
ed. |
0.1%
Lodoxamide |
5 |
184 |
ANESTHETICS |
|||
Novesin
ed. |
0.4%Oxybuprocaine
HCl |
10 |
82 |
Ophthetic
ed |
0.5%Proparacaine
HCl |
15 |
82 |
CATARACT |
|||
Catalin
ed. |
Pirenoxine
0.75 |
15 |
110 |
Quinax
ed. |
Na.dihydroazapentacene
polysulfonate |
15 |
86 |
LUBRICANT |
|||
Opsil
Tears ed. |
Hydroxypropyl
Methylcellulose0.3% |
15 |
33 |
คำย่อทางจักษุวิทยาที่ควรทราบ
Ocular
Examination
CC
= with correction
CF
= counting finger
HM
= hand motion
IOP
= intraocular pressure
OD
= oculus dexter = RE = right
eye
OS
= oculus sinester = LE = left
eye
OU
= oculus uterqe = BE = both
eyes
PD
= pupillary distance
PH
= pinhole
PJ
= light projection
PL
= light perception
RAPD
= relative afferent pupillary
defect
SC
= without correction
VA
= visual acuity
VF
= visual field
External
Eye Segment
RUL
= right upper lid
RLL
= right lower lid
LUL
= left upper lid
LLL
= left lower lid
ET
= esotropia
XT
= exotropia
Alt.
= alternate
DD =
prism diopter
E
= esophoria
X
= exophoria
HT
= hypertropia
AC/A
= accommodative convergence
to accommodation ratio
NPA
= near point of accommodative
NPC
= near point of convergence
DVD
= dissociated vertical
deviation
Anterior
Eye Segment
AACG
= acute angle closure
glaucoma
A/C
= anterior chamber
ASC
= anterior subcapsular
cataract
CACG
= chronic angle closure
glaucoma
C/F
= cells and flare
HMC
= hypermature cataract
IK
= interstitial keratitis
IOL
= intra-ocular lens
KP
= keratic precipitate
NS
= nuclear sclerosis
PAS
= peripheral anterior
synechia
PCO
= posterior capsule opacity
PEE
= punctate epithelial erosion
POAG
= primary open angle glaucoma
PSC
= posterior subcapsular
cataract
TM
= trabecular meshwork
SIC
= senile immature cataract
SMC
= senile mature cataract
SPK
= superior punctate keratitis
Investigation
DCG
= dacryo-cystogram
EOG
= electro-oculogram
ERG
= electroretinogram
FCT
= fluorescein clearance test
FFA
= fundus fluorescein
angiography
UBM
= ultrasonic Bio-Microscope
U/S
= ultrasound
VEP
= visual evoked potential
VER
= visual evoked response
Posterior
Eye Segment
AION
= anterior ischemic optic
neuropathy
AMD
= age-related macular
degeneration
APMPPE=
acute posterior multifocal placoid pigment epitheliopathy
BDR
= background diabetic
retinopathy
BRAO
= branch retinal artery
occlusion
BRVO
= branch retinal vein
occlusion
CME
= cystoid macula edema
CRAO
= central retinal artery
occlusion
CRVO
= central retinal vein
occlusion
CSME
= clinically significant
macular edema
CSR
= central serous retinochoroidopathy
DR
= diabetic retinopathy
ERM
= epiretinal membrane
ICE
= irido-corneal endothelial
syndrome
ICSC
= idiopathic central serous
chorioretinopathy
IOFB
= intra-ocular foreign body
MH
= macular hole
NV
= neovascularization
PDR
= proliferative diabetic
retinopathy
PHPV
= persistent hyperplasia
primary vitreous
PPDR
= pre-proliferative diabetic
retinopathy
PVD
= posterior vitreous
detachment
PVR
= proliferative
vitreo-retinopathy
RD
= retinal detachment
ROP
= retinopathy of prematurity
RP
= retinitis pigmentosa
RPE
= retinal pigment epithelium
RRD
= rhegmatogenous retinal
detachment
Total
RD
= total retinal detachment
TRD
= trational retinal
detachment
VH
= vitreous hemorrhage
Ophthalmic
surgery
ALT
= argon laser trabeculoplasty
AMT
= amniotic membrane
transplant
Combined
= trabeculoplasty + cataract surgery
DCR
= dacryocystorhinostomy
DTSCP
= diode transcleral
cyclophotocoagulation
ECCE
= extracapsular cataract
extraction
EDL
= endolaser
FGX
= fluid-gas exchange
HHA
= human hydroxy apatite
ICCE
= intracapsular cataract
extraction
IOL
= intraocular lens
LASER
= light amplification by
stimulated emission of radiation
LASIK
= laser in situ
keratomileusis
LK
= lamellar keratoplasty
LPI
= laser peripheral iridotomy
LTP
= laser trabeculoplasty
MPC
= membrane peeling and
cutting
Nd-YAG
= neodinium yithium aluminium
granet
PHACO
= phacoemulsification
PI
= peripheral iridectomy
PK(P)
= penetrating keratoplasty
(procedure)
PPL
= pars plana lensectomy
PPV
= pars plana vitrectomy
PRK
= phetorefractive keratectomy
PRP
= panretinal photocoagulation
RK
= radial keratotomy
SBP
= scleral buckling procedure
SMT
= segmentation
Tripple
= PK + cataract surgery + IOL